วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

writing from graph and chart





ชื่อเรื่อง (ภาษาอังกฤษ)   PEPE Snacks wholesale chart
Introduction  (ประโยคนำ-บทนำ)(ภาษาอังกฤษ)
PEPE Snacks is a wholesale company that exports Thai snacks to foreigner countries. The graph shows the annual’s overall percentage of sale of PEPE Snacks from January to December.  In order to be able to look at how much revenue or lost the business has produced within a year; therefore the business can improve their performance better in the next year.
Body (เนื้อหา หรือ เนื้อความที่ต้องการเขียน)(ภาษาอังกฤษ หรือ ภาษาไทย)
1.       The sale increased 20% in January.
2.       In February, the sale has increased 5% more from January.
3.       In March, there was an increasing of the wholesale for 35%
4.       The sale has stably increased 5-10% from April to June.
5.       In August, the sale was increasing 75% compared to last year. 
6.       In December, the sale has increased up to 90%.
7.       In comparison, there was 70% increasing in sale from January to December.

Conclusion (ส่วนสรุป) (ภาษาอังกฤษ หรือ ภาษาไทย)
In conclusion, it can be seen that PEPE snacks has a good strategy in increasing their wholesale products.  According to the graph, indicated that from January to December, the percentage of their sale was constantly increasing. The business is definitely doing well in their market and successfully in fulfilling their customers’ needs.


………………………………………………………………………………………………………………



วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554

Capitalization and punctuations

สรุปการใช้เครื่องหมายต่างๆในภาษาอังกฤษ (Punctuation)
1)เครื่องหมาย comma ( , )
1.1) ใช้ในการ แยกกลุ่มคำที่อยู่ในหมวดเดียวกันแต่จะถูกละหน้า and หรือ or
เช่น – My favorite fruit are strawberry, apple, papaya, pineapple and durian.
– You can choose fish, pork, beef or chicken for your main course.
1.2) ใช้ในการแยกกลุ่มคำหรืออนุประโยค
เช่น – If you concentrate and participate in class, take note and study hard-
before exam, you will not only pass but also get very good marks.
1.3) ใช้คั่นหน้าและหลังกลุ่มคำหรืออนุประโยคที่ขยายคำนามข้างหน้า
เช่น – The cityhall, which was built in 1853, will be reconstructed in next year.
1.4) ใช้คั่นระหว่างประโยคสองประโยคที่มี คำเชื่อม เช่น and, as, but, for, or
เช่น – I wanted to go to Fenny’s birthday party last night, but unfortunately-
I was busy with my work.
1.5) ใช้คั่นคำขึ้นต้นที่เป็นคำ, กลุ่มคำ, กริยา หรือกลุ่มคำที่เป็นกริยาช่วยที่ประยุกต์ใชักับประโยคทั้งประโยค
เช่น – As mentioned before, our organization will start the new management-
system next year.
– By the way, did you go to see “Blue” concert last night?

2) เครื่องหมาย colon ( : )
2.1) ใช้เพื่อแยกประโยคหลักเพื่อนำเข้าสู่กลุ่มคำที่อยู่ในหมวดหมู่นั้นที่เป็น ลำดับขั้นตอนหรือเป็นเหตุเป็นผล
เช่น – These are our company long-term goals: to spread our product in Asian-
market especially HongKong, Taiwan and China; and to increase 3 % in-
sale volume.
– You have only two choices: go to Chiang Mai with us; or stay home with-
your family.
2.2) ใช้เพื่อขยายกลุ่มคำหรืออนุประโยคกับประโยคหลัก ซึ่งเป็นการเขียนแบบเป็นทางการ
เช่น – The situation in Ethiopia is very serious: many people died because of starve.

3)เครื่องหมาย full stop หรือ period ( . )
3.1) ใช้ในการจบประโยค ยกเว้นประโยคที่เป็นคำถามหรือประโยคอุทาน
เช่น – We will go for jogging tomorrow morning. After that we will have some-
lunch in the city.
3.2) ใช้ในคำย่อ
เช่น – etc. p.m. Sat.
4) เครื่องหมาย semicolon ( ; )
4.1) ในการคั่นประโยคสามารถใช้ semicolon แทนเครื่องหมาย comma ( , )
ได้หากประโยคนั้นมีเครื่องหมาย comma อยู่แล้ว
เช่น – He will follow through his aim; he will not care whatever the cost,
even it has effect on someone.
4.2) ใช้ในการเขียนที่เป็นทางการเพื่อคั่นระหว่างอนุประโยค2ประโยคที่ไม่มี
คำ เชื่อมแต่มีความหมายเกี่ยวเนื่อง
เช่น – It looks very cloudy today; it might rain soon.

5) เครื่องหมาย question mark (?)
5.1) ใช้วางท้ายสุดในประโยคคำถาม,
เช่น – Are you ready to go? Where have you been?
5.2) ใช้เฉพาะกับ วันเดือนปี เพื่อความสงสัย
เช่น – John Marston (?1575-1634)

6) เครื่องหมาย exclamation (!)
ใช้วางหลังประโยคเพื่อแสดงอาการ ตื่นเต้น ดีใจ โกรธ หรือ ตกใจ หรือประโยคคำสั่ง
เช่น – That’s so great!
– What! It’s impossible.
– Go to your bed!

7) เครื่องหมาย apostrophe (‘)
7.1) ใช้คู่กับ s เพื่อแสดงความเกี่ยวดองหรือเป็นเจ้าของ
เช่น – Jane’s coat
– Joe’s girlfriend
– my sister’s friend
7.2) เพื่อทำให้รูปแบบสั้นขึ้นโดยใช้ละแทนตัวอักษรหรือตัวเลขนั้น
เช่น – He’s (He is)
– You’re (You are)
– They’d (would)
– the summer of’ 99 (1999)
7.3) บางครั้งใช้กับ s เพื่อทำให้เป็นรูปพหูพจน์ต่อจากตัวอักษรย่อหรือตัวเลขย่อ
เช่น – lend me your r’s
– during 1980′s

8)เครื่องหมาย hyphen (-)
8.1) ใช้ในการผสมคำตั้งแต่ 2 คำขึ้นไป
เช่น – pipe-cleaner
– one-to-one
8.2) ใช้ในการสร้างคำใหม่จาก prefix (คำอุปสรรค) กับคำนามเฉพาะ
เช่น – pre-Neolism
– pro-European
8.3) ใช้คั่นระหว่างการเขียนเลขจำนวน 21 ถึง 99
เช่น – 69 sixty-nine
– 23 twenty -three
8.4)ใช้คั่นระหว่าง prefix ที่ลงท้ายด้วยสระซึ่งเป็นตัวเดียวกับคำขึ้นต้นของคำนามที่นำมาผสม
เช่น – co-ordinator
– pre-emption
8.5) ใช้เชื่อมคำๆเดียวที่อยู่ต่อกันระหว่างบรรทัด
เช่น – We may choose to withdraw and protect ourselves from pain.

9) เครื่องหมาย dash (–)
9.1) ใช้ในการเขียนอย่างไม่เป็นทางการ แทนเครื่องหมาย colon หรือ semicolon
เพื่อบ่งชี้ว่าข้อความที่ตามมานั้นเป็นบทสรุปจากข้อความที่กล่าวมาข้างหน้า
เช่น – Lucy looks very happy today and so do Paul-they are in love.
9.2) ใช้คั่นระหว่างคำวิจารณ์ หรือ ความคิดที่เพิ่มเติมในภายหลัง
เช่น – He knows every scope of this job— or he did it before.


10) เครื่องหมาย dots หรือ ellipsis (…)
ใช้เพื่อละความยาวของข้อความ มักจะเป็นข้อความที่อ้างอิงมาจากผู้อื่นหรือ
บท สนทนาที่มีความยาว
เช่น “Romance not only light a candle or bring home flowers, it builds
bridge of friendship, caring …to the arms of his or her eager love.”
( Yagel: 19, 1995)

11) เครื่องหมาย slash หรือ oblique ( / )
ใช้คั่นระหว่าง คำที่เสนอวิธีเลือกหรือกลุ่มคำ
เช่น – have a coffee/ tea /or orange juice
– shirt/ pants/ blouse/skirt

12) เครื่องหมาย quotation marks (‘ ‘, ” “)
12.1) ใช้ล้อมคำและเครื่องหมายในประโยค direct speech (คำพูดทางตรง)
เช่น – ‘What time will he arrive here?’ John asked.
– ‘Around 6.00 p.m.’ Kate replied.
12.2) ใช้เพื่อดึงดูดความสนใจว่าคำนั้น แปลกไปจากบริบท มักใช้ใน ข้อความที่เป็นแสลง
หรือ คำที่บ่งชี้ความตรงกันข้ามกัน (irony)
เช่น – People look stress and lifeless in the country named ‘land of smile’.
12.3) ใช้เน้นคำเฉพาะที่เป็นชื่อบทความ, หนังสือ, โคลงกลอน, ละครหรือการแสดง
เช่น – I am going to see ‘Shakespeare in love’.
– Hemmingway’s ‘The old man and the sea’
12.4) ใช้ล้อมข้อความอ้างอิงสั้นๆหรือคำพูด
เช่น – One way to build a good communication is ‘sharing motions that we-
favor ignoring’
12.5) หากเป็นคำอ้างอิงที่ซ้อนอยู่ในประโยคอ้างอิงจะมีลักษณะการใช้ดังต้อไปนี้
เช่น – ‘Have you any idea,’ he said, ‘where “Ryan Street” is?’
(หรือ)
“Have you any idea,” he said, “where ‘Ryan Street’ is?”

13) เครื่องหมาย brackets หรือ parentheses ( )
13.1) ใช้เพื่อแยกข้อมูลพิเศษ หรือ ข้อคิดเห็นเพิ่มเติม ภายในประโยคหรือท้ายประโยค
เช่น – Phi Phi Island (lies about 3 km from the mainland) comprises two islands.
– Kiwi now (originated from China) is a very famous fruit in NewZealand.
13.2) ใช้ล้อม การอ้างอิงไปยังหน้าอื่นของหนังสือ
เช่น – Body language is an important part of effective communication
(see next chapter).
13.3) ใช้ล้อมตัวเลข หรือ อักษรในข้อความ
เช่น – The main subjects in this chapter are (1) Strategic business unit-
(2) Strategic thinking process (3) Strategic evaluation.

วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554

Headlines and signs

Sanoh will join forces with Puea Thai เป็นแบบที่ 4
Purachai started up new party   เป็นแบบที่ 1
ข้อ 3  Japan football stars play for victims  Japan football stars played for victims  เป็นแบบที่ 1
United Front for Democracy against Dictatorship (UDD)  leaderes wanted to run on PT list  เป็นแบบที่ 1
Soldie was killed in Pattani attack  เป็นแบบที่ 2
ตัวย่อ
 1 UDD = United Front for Democracy against Dictatorship
2 UN = United Nations
3 CAPO =The Centre for the Administration of Peace and Order (CAPO)
4 PAD =People's Alliance for Democracy
5 WHO = World Health Organisation
6 ICT = The Information and Communication Technology
7 NPP = The New Politics Party







                                                                            ทางหนีไฟ









งานวันที่ 4/04/2011

Sanoh will join forces with Puea Thai เป็นแบบที่ 4
Purachai started up new party   เป็นแบบที่ 1
Chai blameed  Prime Minister  for lack of quorum  เป็นแบบที่ 1
United Front for Democracy against Dictatorship (UDD)  leadered want to run on PT list  เป็นแบบที่ 1
Soldie was killed in Pattani attack  เป็นแบบที่ 2
ตัวย่อ
 1 UDD = United Front for Democracy against Dictatorship
2 UN = United Nations
3 CAPO =The Centre for the Administration of Peace and Order (CAPO)
4 PAD =People's Alliance for Democracy
5 WHO = World Health Organisation
6 ICT = The Information and Communication Technology
7 NPP = The New Politics Party

วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2554

Dictionary

context colue reading

งานวันที่  28/3/54
1.      free enterprise system (noun)
แปล an economic system in which private businesses compete with each other to sell goods and services in order to make a profit, and in which government control is limited to protecting the public and running the economy
องค์กรอิสระ เพราะในเนื้อหากล่าวเบี้องต้นเกี่ยวกับระบบเศรษฐกิจของประเทศค้าขายเสรีรายใหญ่ของโลก
2.      market การตลาด (noun)
the business or trade in a particular product, including financial products
เพราะ ในเนื้อหาได้กล่าวถีงการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการระหว่างผู้บริโภคและผู้ผลิต
3.      Demand (verb) ความต้องการของผู้บริโภค
แปล To ask for something forcefully, in a way that shows that you do not expect to be refused
เพราะมีการอ้างตัวอย่างถึง ความต้องการของผู้บริโภคว่าอยากซื้อมะเขือพันไหนบ้าง
4.      law of demand กฏอุปสงค์ (noun)
a rule, usually made by a government, that is used to order the way in which a society behaves toward customers’ demand.
เพราะมีการระบุเบื้องต้นเกี่ยวกับกฏหมายของการซื้อขายในตลาด โดยเน้นเกี่ยวกับเรื่องความต้องการของผู้บริโภคเป็นจุดสำคัญ
5.      Consumer ลูกค้าหรือผู้บริโภค (noun)
a person who buys goods or services for their own use
เพราะว่า มีการกล่าวถึงผู้ซื้อ โดยหมายถึง ผู้บริโภคนั่นเอง
6.      supply การตอบสนองความต้องการของตลาด (noun)
to provide something that is wanted or needed, often in large quantities and over a long period of time
เพราะการหาสินค้ามาขายโดยยึดจากความต้องการของผู้ซื้อส่วนใหญ่ คือการตอบสนองความต้องการของตลาดหรือของผู้บริโภค
7.      law of supply กฏอุปทาน (noun)
a rule, usually made by a government, that is used to order the way in which a society behaves toward supply in the market.
เพราะมีการกล่าวถึงกฏหมายคุ้มครองการซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนสินค้ากันในตลาดของผู้อุโภคบริโภค ซึ่งเน้นความยุติธรรมทางด้านราคาสินค้าด้วยเช่นกัน ซึ่งกฏหมายนี้มีผลคุ้มครองทางด้านราคาสินค้า
How the Market Works : Demand and Supply
ทำการตลาดอย่างไรให้ได้ผล: ความต้องการและการตอบสนองความต้องการ
          The economic system of countries such as Japan, Canada, Germany, and the United States is the free enterprise system (องค์กรอิสระ)-in other words, the private enterprise system. This means that the government does not own most businesses. Individuals and groups own them. People are free to produce, buy and sell what they want. They are free to start a new enterprise-business.
          In the free enterprise system, the government does not determine the price of products. The market determines it. But what is “the market”? We know about supermarkets, stock markets, farmers’ markets, meat markets, and gold markets. We can buy and sell things by mall, by phone, and by computer. These are all part of the market การตลาด-the exchange of goods and services by buyers and sellers.
          The market determines the price of products by two general rules: the laws of demand and supply. For example, how many tomatoes will consumers buy at various  prices? This isdemand ความต้องการ. The law of demand กฏอุปสงค์ states that consumers ลูกค้าหรือผู้บริโภคสินค้า(buyers)usually buy more of a product at a lower price. How many tomatoes will the sellers product at various prices? This issupply การตอบสนองความต้องการ. The law of supply กฏอุปทาน states that producers usually supply more of a product at a higher price. Consumers, of course, want a low price, but producers need to make a profit .The actions of consumers and producers determine the price.
          Let’s look at an example. A supermarket has a supply of 600 pounds of tomatoes at $1.99 a pound. After two days, customers have bought only 100 pounds. Soon 600 more pounds are coming to the store manager has a problem-a surplus of tomatoes. In other words, she has an oversupply –too many-so she lowers the price to $1.09 a pound. At this low price, customers soon buy all 500 pounds. This is the equilibrium price ความสมดุลของราคา (the point where supply and demand meet).
Another example is the price of gasoline. In the Organization of the Petroleum Exporting Countries (OPEC) กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน stopped sending oil to Western nations, so there was a shortage of gas and oil in many countries. Prices went up over 30 percents (%).In1974, the supply of oil to the West went down again because of the revolution in Iran ,so prices went up again .Consumers and businesses looked for ways to use less gas and oil. They were successful. Demand went down, so prices started to go down. The free enterprise system was working

วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2554

Quiz1

Portable 
Port- แปลว่า  to carry แปลว่า การขนส่ง  การเดินทาง
able แปลว่า มีทักษะดี  เก่งมีผีมือ
Portable แปลว่า มีทักษะในการขนส่ง  หรือ เก่งในการเดินทาง

Megabyte
Meg- แปลว่า Greatแปลว่า ดีมาก สำคัญ , Large แปลว่า ใหญ่
byte แปลว่า ไบต์ หน่ายเก็บข้อมูลในคอมพิวเตอร์
Megabyte แปลว่า หน่วยความจำในคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่

Bibliography
Biblio- แปลว่า book แปลว่า หนังสือ
Graphy แปลว่า Draw แปลว่า วาด
Bibliography แปลว่า หนังสือวาด

supernatural
super- แปลว่า aboveแปลว่า ข้างบน ,over แปลว่า เหนือ
natural แปลว่า original แปลว่า  ใหม่
supernatural แปลว่า ข้างบนใหม่

heterogeneous
heter(o)- แปลว่า different แปลว่า ต่างกัน,ไม่ธรรมดา,หลากหลาย
ogene แปลว่า อะตอมไฮโดรเจน
-ous แปลว่า characterized by,having quality of แปลว่า คุณภาพ,คุณลักษณะ
heterogeneous แปลว่า คุณภาพอะตอมไฮโดรมีหลากหลาย

circumscribe
circ-,circum- แปลว่า  around แปลว่า ใกล้ๆ , โดยประมาณ
scrib แปลว่า to write แปลว่า เขียน
e- แปลว่า from แปลว่า จาก
circumscribe แปลว่า จากเขียนโดยประมาณ

วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2554

สรุปการเรียนวันที่ 14/03/2011 เรื่อง roots and affixes roots

จากการเรียนเรื่อง roots and affixes roots  ได้ทราบว่า affix จะประกอบด้วย
หน่วยคำ (Word Parts) คือคำหรือส่วนของคำที่เล็กที่สุดแต่มีความหมาย ในคำ ๆ หนึ่งอาจมีได้มากกว่าหนึ่งหน่วยคำ หน่วยคำมี 3 ประเภทใหญ่ดังนี้
Prefixes อุปสรรค คือส่วนของคำที่อยู่ข้างหน้าคำบงบอกความหมายของคำ
Suffixes ปัจจัย คือ ส่วนของทำที่อยู่ท้ายคำบ่งบอกความหมายและหน้าที่ของคำ
Root รากคำ คือ ส่วนที่เป็นความหมายหลักของคำ และจะสามารถอยู่ตำแหน่งใหนของคำก้อได้

1. Prefixes คำเติมหน้า หรือที่เรียกว่าอุปสรรค คำกลุ่มนี้ใช้เติมหน้าคำหลัก (root word)เช่น
un + happy = unhappy
(un คือ prefix happy คือ root word)
un + kind = unkind

.1 Prefixes ที่เปลี่ยนความหมายให้เป็นทางลบ (negative) un, non, in, dis เช่น
reasonable - unreasonable
sense - nonsense
appropriate - inappropriate
agree - disagree
like - dislike

2 Prefixes ที่เติมแล้วเปลี่ยน root word ให้มีความหมายตรงข้ามได้แก่ un., d., dis
3 Prefixes ที่เติมข้างหน้าแล้วเปลี่ยน root word ไปในทางไม่ดีหรือไม่พอเพียง เช่น
mis…, mal…., pseudo……..
understand - misunderstand
function - malfunction
religious meeting - pseudo religious meeting
4 Prefixes
ที่บอกเกี่ยวกับขนาดและดีกรี (มาก / น้อย) เช่น super…, sub…, over…,
under…, hyper…, mini…,

5 Prefixes ที่เกี่ยวข้องกับเวลาและลำดับ เช่น pre…., post…., ex…., re….
test - pre - test / post - test
husband - ex-husband
play - replay
6 Prefixes
ที่เกี่ยวกับจำนวน เช่น uni…., mono…., bi…., tri…. Multi…., poly….cycle - recycle
media - multimedia
technics - polytechnics
 

Prefix ความหมาย คำที่เกิดขึ้นain, on ,ataboard บนเรือ
a,an not apatny ความเฉื่อยชา

be near,by because เพราะว่า
bi two biennial มีสองปีต่อหน

cent one hundred century ศตวรรษ
circum around circumstance เหตุการณ์

de down, away degrade ลดระดับ
di seperate divide การทหาร
dis apart dismiss ปล่อยไป

epi upon epidermis หนังกำพร้า

fore before foretell ทำนาย

hemi half hemisphere ครึ่งโลก
hypo under hypothesis สมมติฐาน

im not impolite ไม่สุภาพ
in not inactive อยู่เฉยๆ

mono one monologue การพูดคนเดียว

ob against obstruct ขัดขวาง

pro for prolong ยืด,ต่อ

re back,again reverse ตรงกันข้าม
sub under subsection ข้อย่อย
syn,sym with synchronous เกิดพร้อมกัน



Suffix ความหมาย คำที่เกิดขึ้นan one who partisan ผู้เข้าข้างฝ่าย
ใดฝ่ายหนึ่ง
ant one who assistant ผู้ช่วย

er one who porter คนขนของ

ite one who is favorite คนโปรด
ive one who is captive ผู้ถูกจับกุม

age act of marriage การแต่งงาน

hood state of childhood ความเป็นเด็ก

tude condition of servitude ความเป็นทาส

ure act of departure การจากไป

y state of liberty อิสรภาพ


able, ible able to be enjoyable ได้รับความพอใจ
al related to final สุดท้าย
ar like circular เป็นวงกลม


ate to make emancipate ปลดปล่อย

fy to make solidify ทำใ้หแข็ง

ise, ize to make minimize ทำให้น้อยที่สุด

ly manner eagerly กระตือรือร้น



Root ความหมาย คำที่เกิดacro (akros) highest acrobat นักกายกรรม
act, ag do, move activate กระตุ้น
ann,enn year annual ประจำปี

bene good , well benefit เป็นประโยชน์
bio (bios) life, living biology ชีววิทยา

ced, cess, ceed go, move proceed ดำเนินการ

dem (demos) people democracy ประชาธิปไตย

fac, fic do make manufature การผลิต

geo earth geography ภูมิศาสตร์
gress go aggression การรุกราน

hydr (hydro) water dehydrate คายน้ำ

idio (idios) personal idiot คนโง่

leg,lec law legal เกี่ยวกับกฏหมาย
loc place locate ตั้งขึ้น
logy, log speech logic ตรรกวิทยา

man hand manual ด้วยมือ
mit , mis send admit ยอมรับ

nov new innnovate เปลี่ยนใหม่

port carry support สนับสนุน

reg rule, govern regulate กำหนด

seque follow sequence ลำดับ
scope see telescope กล้องโทรทรรรศน์
spect, spic see aspect ลักษณะ

tend,tens tretch extend ยืด

vid, vis look, provide visible ทัศนวิสัย
viv, vit live revive ทำให้ฟื้นขึ้น

           ข้อสังเกต (สำหรับการเติม prefix "in")
. ถ้าคำขึ้นต้นด้วย "I" prefix "in" จะเป็น "il" เช่น legal - illegal. ถ้าคำขึ้นต้นด้วย "m, b, p" prefix "in" จะเป็น "im" เช่น possible - impossible
. ถ้าคำขึ้นต้นด้วย "r" prefix "in" จะเป็น "ir" เช่น regular - irregular

ปัจจัย (Suffix)
ปัจจัยคือส่วนที่เติมหลังรากศัพท์มักจะเปลี่ยนความหมายและหน้าที่ของคำด้วย หรือเป็นส่วนหนึ่งของคำที่อยู่ข้างหลังคำหลัก (Base words) หรือรากศัพท์ (Roots) โดยทั่วไป ปัจจัย (Suffixes) ช่วยชี้แนะชนิดของคำ (Parts of speech) เช่นการเติมปัจจัย -er , -ist , -or หลังคำหลัก และทำให้คำหลัก (Base words) เปลี่ยนชนิดของคำเป็นคำนามประเภทของปัจจัย (Suffixes) สรุปได้ดังนี้
1. ปัจจัยที่ทำให้กริยาเป็นคำนาม คือ ปัจจัยที่เติมหลังคำกริยา แล้วเปลี่ยนคำหลักเป็นชนิดของคำนาม เช่นปัจจัย..............ตัวอย่างคำ......................ความหมาย
ation..............combine.......................combination
ment..............payment......................payment
er....................paint ........................... painter
al.....................propose........................proposal

2. ปัจจัยที่ทำให้คุณศัพท์เป็นคำนาม คือ ปัจจัยที่เติมหลังคำคุณศัพท์ แล้วเปลี่ยนเป็นชนิดของคำนาม เช่น ปัจจัย...............ตัวอย่างคำ.......................ความหมาย
ness................kind...............................kindness
ce....................absent...........................absence
ism..................human..........................humanism

3. ปัจจัยที่ทำให้คำนามเป็นคุณศัพท์ คือ ปัจจัยที่เติมหลังคำนาม แล้วเปลี่ยนเป็นชนิดของคำศัพท์ เช่น ปัจจัย................ตัวอย่างคำ.......................ความหมาย
ful....................success..........................successful
ish....................selfish............................selfish

4. ปัจจัยที่ทำให้คำกริยาเป็นคุณศัพท์ คือ ปัจจัยที่เติมหลังคำกริยา แล้วเปลี่ยนเป็นชนิดของคำคุณศัพท์ เช่นปัจจัย.................ตัวอย่างคำ......................ความหมาย
ing....................amuse...........................amusing
able..................remark.........................remarkable
ive....................creat.............................creative



Prefix
Meaning
Example
ex-
out , beyond , former (ออก / นอก , พ้น , เก่า)
ex-husband , ex-wife , ex- president ,
ex- principle
co-
together with (ร่วม)
co – operate , co - educational
anti-
against (ขวาง , สกัดกั้น)
antibody , antibiotic , anti - social
ante- , pre
before (ก่อน , หน้า)
antedate (การลงวันที่ก่อนวันจริง)
mis-
wrong (ผิด)
misjudge , misunderstand
dis- , un- , non-
im- , in- , ir- , il-
not (ไม่)
discourage , uncomfortable , nonstop ,
impossible , invisible , irregular , illegal
re-
again , back (อีกครั้ง , ใหม่)
rewrite , repay (จ่ายกลับ) , reopen
post-
after , behind , later (หลัง , เก่า)
post-test , post –graduate
over-
excessively , too much (มากเกินความจำเป็น)
overload , overweight , overact ,
overrate (ประเมินค่าสูงเกินไป)
super-
above , over , superior to (เหนือขั้น , เหนือ , เกินขั้น)
supernatural , superman , supernumerary
(มีจำนวนเกิน) superpower
sub-
under (ใต้) , beneath , divided (แบ่งย่อย)
subcutaneous (ใต้ผิวหนัง) , submarine (เรือดำน้ำ) , substation (สถานีย่อย)
trans-
across , beyond , over ข่าม , ผ่าน , ตลอด)
transpacific (ข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก) transplant (ย้ายเพาะปลูก)
poly- , multi-
many , more than two (มากมาย , หลาย)
polyclinic , multipurpose

Root or Stem
รากศัพท์ (Root or Stem) เป็นส่วนที่แสดงถึงความหมายพื้นฐานหรือความหมายหลัก (Basic Meaning) ของคำ เมื่อเติม Prefix หรือ Suffix เข้าไปแล้วก็จะเป็นคำขึ้นมา โดยที่ความหมายของรากศัพท์ยังคงเดิมไม่เปลี่ยนความหมายไป รากศัพท์ (roots) เป็นส่วนที่เป็นฐานของคำและเป็นตัวหลักเพื่อสร้างคำอื่น ๆ เพิ่มขึ้น และรากศัพท์เป็นส่วนที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้อีก รากศัพท์อาจเกี่ยวข้องกับจำนวนเลข (Numbers) การวัด (Measurement) การเคลื่อนไหว (Motion) การกระทำ (Action) ความรู้สึก (Senses) คุณภาพ (Quality) กฎหมาย (Law) และสังคม (Social)


ดังตัวอย่างต่อไปนี้
รากศัพท์ที่เกี่ยวกับจำนวนเลข (Numbers) เช่น
รากศัพท์...................... ความหมาย
semi .......................... one half
mono.......................... one
bi................................. two
cent............................ hundred

รากศัพท์ที่เกี่ยวกับการวัด (Measurement) เช่น
รากศัพท์.........................ความหมาย
graph / graphy............a device to write or record
meter ...........................a device to measure

รากศัพท์ที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว (Motion) เช่น
รากศัพท์..........................ความหมาย
vent...............................to come

รากศัพท์ที่เกี่ยวกับการกระทำ (Action) เช่น
รากศัพท์...........................ความหมาย
stat / stit / sist..............to stand up

รากศัพท์ที่เกี่ยวกับความรู้สึก (Senses) เช่น
รากศัพท์............................ความหมาย
voc / vok........................voice; to call

รากศัพท์ที่เกี่ยวกับคุณภาพ (Quality) เช่น
รากศัพท์............................ความหมาย
clar...................................bright
dur...................................hard; strong
รากศัพท์ที่เกี่ยวกับกฎหมาย (Law) และสังคม (Social) เช่น
รากศัพท์.............................ความหมาย
ver.....................................true; to prove
civ / cit..............................city; government
cert.....................................to be sure or certain; approve

ตัวอย่างเช่น
1. contort = con (ร่วมกัน, ด้วยกัน) เป็น prefix + tort (บิด) เป็นรากศัพท์

ดังนั้นความหมายของ contort คือ ทำให้คด, งอ, บิด
2. torsion = tors (บิด) เป็นรากศัพท์ + ion (การ,ความ) เป็น suffix

ดังนั้นความหมายของ torsion จึงมีความหมายว่า "การบิด"
3. irremovable = ir (ไม่) เป็น prefix + remove (เคลื่อนย้าย) เป็นรากศัพท์ + able (สามารถ) เป็น suffix

ดังนั้นความหมายของคำ irremovable จึงมีความหมายว่า "เคลื่อนย้ายไม่ได้"
4. circumlocution = circum (รอบๆ)เป็น prefix + locu (พูด) เป็นรากศัพท์ + tion (การ , ความ) เป็น suffix ดังนั้นความหมายของ circumlocution จึงมีความหมายว่า "การพูดจาแบบอ้อค้อม"
5. triarchy = tri (สาม)เป็น prefix + archy (การปกครอง) เป็นรากศัพท์

ดังนั้น triarchy จึงมีความหมายว่า "การปกครองโดยคน 3 คน "